Infrared Thermometer (IR) หรือ เทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิตอลที่วัดอุณหภูมิแบบไม่สัมผัสกับวัตถุ (Non-Contact Thermometer) ด้วยรังสีอินฟราเรด ที่อ่านค่าอุณหภูมิบริเวณใดบริเวณหนึ่งบนพื้นผิวของวัตถุ ใช้ในการวัดงานในลักษณะที่อยู่ระยะไกล(ตามเงื่อนไขของเครื่องมือ) วัดงานที่อุณหภูมิสูง งานที่ใช้เวลาในการวัดเร็ว หรือ งานที่ไม่ต้องการให้เกิดการปนเปื้อนขณะทำการวัด

 หลักการทำงานเบื้องต้น Infrared Thermometer

หลักการทำงานของ เทอร์โมมิเตอร์แบบแผ่รังสี (Infrared Thermometer) คือ การวัดปริมาณการแผ่รังสีความร้อน หรือ รังสีอินฟราเรดที่แผ่ออกมาจากวัตถุใดๆ ซึ่งมีค่าแปรผันกับอุณหภูมิ แล้วทำการแปลงสัญญาณที่วัดได้เป็นปริมาณทางอุณหภูมิโดยอาศัยกฎของ Plank (Plank’s Law) และ Stefan-Boltzmann (Stefan-Boltzmann’s Law ) ซึ่งหน้าที่และส่วนประกอบภายในของเครื่องมือประกอบด้วย Optical system(lens) จะทำการรวบรวมการแผ่รังสีจากวัตถุเข้าสู่ระบบวัด จากนั้น Filter  จะทำการเลือกช่วงความยาวคลื่นที่ต้องการวัด โดยมี Detector เป็นตัววัดการแผ่รังสีที่เข้าสู่ระบบการวัด จากนั้นทำการเปลี่ยนค่าสัญญาณที่วัดได้เป็นค่าอุณหภูมิด้วยวิธี Linearizing system จากนั้นประมวลผลและทำการรายงานค่าอุณหภูมิผ่านหน้าจอแสดงผล

สิ่งที่ควรทราบ ก่อนการใช้งาน Infrared Thermometer

1.ต้องทราบขนาดของพื้นที่ที่จะทำการวัดอุณหภูมิ (ขนาดของเป้าที่จะทำการวัด) เพื่อที่จะกำหนดระยะในการวัดให้สอดคล้องกับ Spec. ที่กำหนดที่ตัวเครื่องมือ หรือ Manual ของเครื่องมือนั้นๆ ซึ่งการกำหนดระยะในการวัดให้สอดคล้องกับขนาดของเป้า เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อค่าที่วัดได้ (ขนาดของเป้าที่จะทำการวัดควรมีขนาดอย่างน้อย1.5-2 เท่าของ Spot size)

ยกตัวอย่างเช่น ที่ตัวเครื่องมือระบุไว้ว่า “ D:S = 12:1 “ ความหมาย คือ

Distance (ระยะในการวัด) = 12 หน่วย

Spot size (Diameter) = 1 หน่วย

2. ควรคำนึงถึงค่า Emissivity (สัมประสิทธิ์การแผ่รังสี) ของสิ่งที่เราจะทำการวัด เมื่อทราบแล้วให้ทำการตั้งค่า Emissivity ที่เครื่อง Infrared Thermometer ให้ตรงกับค่า Emissivity ของวัตถุที่ต้องการวัด เพราะถ้าหากค่า Emissivity ไม่ตรงกันก็จะทำให้เกิดความผิดพลาดในการวัดได้

การดูแลรักษา และข้อควรระวัง

  1. เครื่องมือที่ใช้วัดควรได้รับการสอบเทียบอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งานของเครื่องมือ) เพื่อยืนยันความสามารถและความถูกต้องของเครื่องมือ
  2. เลือกใช้งาน Infrared Thermometer ให้เหมาะสมกับลักษณะงาน โดยคำนึงถึงค่าความถูกต้องของเครื่องมือและเกณฑ์ยอมรับของงานที่ยอมรับได้
  3. หลีกเลี่ยงการสัมผัสหัววัด เพื่อป้องกันไม่ให้มีรอยขีดข่วน และควรระวังเศษฝุ่นที่จะไปเกาะติด บริเวณผิวของเลนส์
  4. เมื่อใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว แนะนำให้ทำความสะอาดบริเวณผิวของเลนส์โดยการใช้ลมแห้งเป่า แล้วจัดเก็บเครื่องมือในกล่องบรรจุภัณฑ์ และจัดเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการตกหล่น การกระแทก ของเครื่องมือ

Infrared Thermometer ใช้ในอุตสาหกรรม อะไรบ้าง

การใช้งาน  Infrared Thermometer จะใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีการควบคุมอุณหภูมิที่สูงหรือ อุตสาหกรรมที่ไม่ต้องการให้มีการสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือชิ้นงาน เพื่อควบคุมและตรวจสอบอุณหภูมิ ป้องกันไม่ให้การทำงานเกิดความผิดพลาด ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน  เช่น

  • การแพทย์ การตรวจวัดอุณหภูมิทางร่างกายในทางการแพทย์
  • ยานยนต์ การวัดอุณหภูมิการผลิตหรือการทดสอบ ตรวจสอบอุณหภูมิของชิ้นส่วนอะไหล่ที่ใช้กับความร้อนสูง เช่น หม้อน้ำ ยาง เบรค เป็นต้น
  • อาหารและเครื่องดื่ม การวัดอุณหภูมิวัตถุดิบ ส่วนผสม ในกรณีที่ไม่ต้องการให้มีการปนเปื้อน และควบคุมอุณหภูมิให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของอาหาร
  • การผลิตต่างๆ   การวัดอุณหภูมิของเครื่องจักร มอเตอร์ ขณะทำงาน เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนสะสมที่มากเกินไป เพื่อป้องกันการชำรุดของเครื่องจักร
  • อิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า การวัดอุณหภูมิของอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือ แผงวงจรไฟฟ้า ที่ต้องควบคุมไม่ให้มีความร้อนที่มากเกินไป
  • อุตสาหกรรมเหล็ก การควบคุมความร้อนของเตาหลอมที่มีความร้อนสูงในการหลอมเหล็ก

สายงานบริการ 3 สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) หรือ ส.ส.ท ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการรับรองความสามารถตามมาตรฐานห้องปฏิบัติการ ISO/IEC 17025 “  มีให้บริการสอบเทียบเครื่องมือ Infrared Thermometer ในจุดอุณหภูมิที่  15 ºC to 400 ºC ”  ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 ”  และ ค่า CMC ที่ ส.ส.ท. ทำได้ ดังนี้

ParameterCMC
15 ºC to 50 ºC1.5 ºC
> 50 ºC to 200 ºC2.0 ºC
> 200 ºC to 400 ºC2.5 ºC

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line Official: @TPACAL

โทรศัพท์ : 02-717-3000 ต่อ 82

Email: [email protected]

www.tpacal.or.th

Tags